• กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมปี 2559 อยู่ที่ 16.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 145 เมื่อเทียบปีต่อปี
  • ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 อยู่ที่ 8.7 ล้านตัน ส่งผลให้ไอวีแอลเป็นบริษัทผู้ผลิต PET และเส้นใยรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงสุดอยู่ที่ 27.3 พันล้านบาท แม้ว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะชะลอตัว
  • มีมติให้จ่ายปันผลในอัตรา 0.66 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากปี 2558

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 17 กุมภาพันธ์ 2560 – บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 4 และผลประกอบการประจำปี 2559

ผลประกอบการประจำปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Net Profit after tax and non-controlling interests) 16.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 145 เมื่อเทียบปีต่อปี กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) เติบโตร้อยละ 25 เป็นผลจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดย Core EBITDA ของธุรกิจ PET เติบโตร้อยละ 19 ในขณะที่ธุรกิจเส้นใยและธุรกิจวัตถุดิบ เติบโตร้อยละ 8 และ 42 ตามลำดับ ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 24 อยู่ที่ 8.7 ล้านตัน เป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการหลัก 2 แห่งในเดือนเมษายน 2559 ในตลาดที่มีอัตรากำไรสูงอย่างสหรัฐและยุโรป การเข้าซื้อกิจการทั้ง 2 แห่งดังกล่าวในสหรัฐและสเปน มีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและป้องกันความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานด้วยการบูรณาการไปยังวัตถุดิบเพิ่มเติม ในขณะเดียวกันช่วยปรับปรุงผลการดำเนินงานในภาพรวมของบริษัทฯ ทั้งนี้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจจะชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ซึ่งภาพรวมของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ necessities ได้รับผลกระทบจากอุปทานส่วนเกิน อัตราการผลิตที่ลดลงและผลจากกำไรในอุตสาหกรรมที่ลดลงต่ำสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างยอดเยี่ยม

ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 7.25 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากไตรมาสที่ 4 ปี 2558 เป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2559 และอัตราการผลิตรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 86 จากร้อยละ 82 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2558 ธุรกิจปัจจุบันหากไม่รวมการเข้าซื้อกิจการทั้ง 2 แห่งที่กล่าวถึง มีการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินโครงการเพื่อความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นในปี 2559 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุน (ROCE) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 10.4 สะท้อนให้เห็นถึงการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรายได้ที่เพิ่มขึ้น

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) กล่าว “แม้ว่าเราจะได้รับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่มีความท้าทายและกำไรที่ลดลงในอุตสาหกรรม แต่ปี 2559 เป็นปีที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เราบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินงาน ในขณะเดียวกันสามารถสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจ PET และวัตถุดิบ ส่งผลให้มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) แม้จะมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของรายได้รวม แต่สามารถทำกำไรสูงถึงร้อยละ 50 ของกำไรรวมของบริษัทฯ ด้วยขนาดการดำเนินงานระดับโลกของไอวีแอล ทำให้บริษัทฯ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และพร้อมที่จะรับประโยชน์จากนี้ไปในอนาคต เมื่ออุปสงค์และอุปทานมีการปรับตัวอย่างสมดุล ประกอบกับอุตสาหกรรมที่มีการควบรวมเพิ่มเติม กลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่มนี้ จะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโต ตลอดจนความสามารถในการสร้างรายได้และกำไร รวมทั้งการขยายอัตรากำไรให้แก่บริษัทฯ”

บริษัทฯ เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ 2 แห่งในปี 2559 และมีโครงการขยายการเติบโตที่กำลังดำเนินอยู่อีกหลายโครงการ อาทิ โครงการปรับปรุงโรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ แบบ dual-feed กำลังการผลิต 440,000 ตันต่อปี ในรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ที่กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2560 นี้ ส่งผลให้มีการรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรกในปี 2561 โครงการขยายกำลังการผลิต PTA ในเมืองร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงกลางปี 2560 ทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 700,000 ตันต่อปี เพียงพอสำหรับการใช้ภายในสำหรับโรงงานผลิต PET ในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) นอกจากนี้บริษัทฯ ยังประกาศขยายการผลิตเส้นใยสำหรับยางในรถยนต์ในประเทศจีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตเส้นใย ในประเทศอินโดนีเซีย และการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิต IPA ในประเทศสเปนเป็นสองเท่า อยู่ที่ 250,000 ตันต่อปี

“เรามีการเพิ่มกำลังการผลิตในสหรัฐเป็น 3.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2558 และยังมีกำลังการผลิตอีก 500,000 ตันจากโรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานในปี 2560 ทำให้มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นราว 4 ล้านตัน ปัจจุบันไอวีแอลเป็นผู้ผลิตกรดไอโซพาทาลิก (IPA) เพียงรายเดียวใน EMEA โดย IPA เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการผลิต PET สีและสารเคลือบ เราคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ร่วมอย่างเต็มที่จากกิจการที่เข้าซื้อเหล่านี้ รวมทั้งโครงการขยายกำลังการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้เรามีกำลังการผลิตรวม 12 ล้านตันในปี 2560 นี้”

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จในการปฏิรูปบริษัทให้เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างแท้จริงและมีขนาดการดำเนินงานระดับโลก ครอบคลุมทุกภูมิภาคหลักในตลาดที่มีความต้องการการบริโภคผลิตภัณฑ์ทั่วโลก

นอกจากการดำเนินงานที่เป็นเลิศแล้ว เรายังผนวกการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลทางธุรกิจ เมื่อเร็วๆนี้ไอวีแอลได้รับยกย่องด้านผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีคะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) และกลุ่มดัชนี FTSE4 Good Index สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามของบุคลากรของเราในการขับเคลื่อนให้ไอวีแอลเป็นบริษัทที่มีความยั่งยืนอย่างแท้จริง” นายโลเฮียกล่าวสรุป

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2559 ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากปี 2558