ย เส้นด้าย โดยการย้ายฐานการผลิตจากเมือง Zielona Gira ในประเทศโปแลนด์ ไปที่เมือง Gubenในประเทศเยอรมัน ที่ซึ่ง Trevira มีฐานการผลิตอยู่แล้ว การปรับโครงสร้างดังกล่าวคาดว่าจะสามารถทำให้ปรับลดโครงสร้างต้นทุนของกิจการและเป็นการตอบสนองความต้องกา รอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้าได้โดยคาดว่าจะดำเนินการย้ายฐานการผลิตเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2555 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เดือนสิงหาคม 2554 การลงทุนในการผลิตเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,500 ตันต่อปี ภายใต้โครงการนี้ ของที่ถูกทิ้ง/ บริโภคแล้ว ขวด PET จะถูกรวบรวมและรีไซเคิลไปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูงเพื่อใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่ม เส้นใยจากขนสัตว์พิเศษเพื่อใช้ผลิตเครื่องแต่งกายภายใต้ตราสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และเส้นด้ายสีสำหรับยานยนต์และเส้นด้ายที่ไม่ผ่านการทอ บริษัทฯได้ออกตราสินค้า ECORAMA สำหรับผลิตภัณฑ์เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล และเพิ่งได้รับรางวัลใบประกาศ Green Label จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย ภายในบริเวณเดียวกับโรงงานของอินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรีส์ เงินลงทุนทั้งหมดคาดว่าประมาณ 22.4 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เดือนสิงหาคม 2554 การลงทุนในโครงการเส้นใยผสมสำหรับสินค้าอนามัย (Bi-component project for Hygiene Application) ด้วยกำลังการผลิต 16,000 ตันต่อปี บริษัทฯได้เข้าสู่ตลาดการใช้วัตถุดิบที่ไม่ผ่านการทอ และเพิ่งเข้าซื้อกิจการผลิตเส้นใยผสมในยุโรป Trevira เพื่อการผลิตสำหรับธุรกิจอนามัยเป็นหลัก สินค้าอนามัยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่ต้องผ่านกระบวนการผลิตชั้นนำ และใกล้ชิดกับผู้บริโภค เพื่อที่จะสามารถระบุความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สัมผัสกับผิวหนัง เช่น ผ้าอ้อมเด็ก ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยของผู้หญิง และอื่นๆ โครงการใหม่นี้จะทำการผลิตส่วนประกอบหลักที่ใช้ในการผลิตเส้นใยผสมสำหรับสินค้าอนามัย โดยใช้เทคโนโลยีร่วบกับ Toyobo ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในสาขานี้ โครงการนี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย ใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 21.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 เดือนสิงหาคม 2554 การลงทุนในเส้นใยผสมคุณภาพสูง (FINNE) ที่โรงงาน IVI ที่บริษัทฯเพิ่งเข้าซื้อกิจการมา (เดิมชื่อ SK Keris) ที่เมือง Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยกำลังการผลิต 16,000 ตันต่อปี IVI มีเทคโนโลยีเฉพาะในการผลิตเส้นใยผสม (FINNE) โดยผ่านเพียงหนึ่งกระบวนการผลิต บริษัทฯจะได้ข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันกว่าบริษัทอื่นที่ยังต้องผ่านสองกระบวนการผลิต และจะมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มธุรกิจนี้ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับการผลิตเสื้อผ้าชั้นนอก และผ้าม่าน ซี่งยังมีคู่แข่งขันน้อยรายที่ผลิตได้ ทำให้บริษัทฯมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง โครงการนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 38.0 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เดือนพฤษภาคม 2554 ที่ประชุมกรรมการบริษัท ได้มีมติให้ขยายกำลังการผลิต PTA ที่ Indorama Holdings Rotterdam BV โดยเพิ่มสายการผลิตใหม่ที่มีกำลังการผลิต 250,000 ตันต่อปี ทำให้โรงงานมีกำลังการผลิตรวม 600,000 ตันต่อปี การขยายกำลังการผลิตนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2556 จะทำให้เกิดข้อได้เปรียบด้านต้นทุน และส่งเสริมการควบรวม PTA ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต PET ในทวีปยุโรป ทั้งนี้ บริษัทฯจะมีกำลังการผลิต PTA ในยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 811,000 ตันต่อปี ในเดือนเมษายน 2554 บริษัทประกาศการขยายโรงงาน การผลิต PET ในทวีปยุโรป ด้วยกำลังการผลิต 220,000 ตันต่อปี การขยายกำลังการผลิตดังกล่าวอยู่ภายในโรงงานผลิต PET เดิมที่มีอยู่แล้วในประเทศโปแลนด์ภายใต้บริษัท Indorama Polymers Poland S.p.z.o.o ซึ่งจะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด และการใช้ท่อส่ง PTA ร่วมกับบุคคลภายนอกที่เป็นผู้ผลิต PTA การขยายกำลังการผลิตคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2556 และจะทำให้เกิดข้อได้เปรียบด้านต้นทุนและเพิ่มกำลังการผลิตทั้งหมดในประเทศโปแลนด์เป็น 370,000 ตันต่อปี และบริษัทฯจะมีกำลังการผลิต PET ในทวีปยุโรปรวมเท่ากับ 1.4 ล้านตันต่อปี ในเดือนมีนาคม 2554 บริษัทฯประกาศการก่อตั้งโรงงานผลิต Continuous Polymerization resin ที่กำลังการผลิต 313,000 ตันต่อปี ในเมือง Purwakarta ประเทศ Indonesia ผลผลิตที่ได้จากโรงงานจะกระจายไปสู่ตลาดเส้นใย เส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ และชิป ในประเทศอินโดนีเซีย และภูมิภาคเอเชีย ที่มีความต้องการสูงขึ้น พีที อินโดรามา ปิโตรเคม อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยใหม่ของบริษัทฯได้ถูกจัดตั้งขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซียสำหรับโครงการ Greenfield นี้ โรงงานดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ในเดือนสิงหาคม 2553 บริษัทอนุมัติให้จัดตั้งโรงงานผลิต PET ใหม่โดยบริษัทย่อย อินโดรามา โพลีเมอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IRP ซึ่ง IRP จะ ทำการจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อลงทุนในโรงงานผลิต PET แบบ Solid state polymerization "SSP" ที่มีกำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ที่ Port Harcourt ประเทศไนจีเรีย การลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นการลงทุนครั้งแรกของบริษัทในแอฟริกา ที่ซึ่งตลาดมีความต้องการถึง 450,000 ตันต่อปี ในปัจจุบันมีเพียงผู้ผลิต PET รายเดียวเท่านั้นในแอฟริกา โรงงานดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน ปี 2555 และคาดว่าจะเพิ่มมูลค่ากำไรแก่บริษัท ในเดือนพฤษภาคม 2553 บริษัทอนุมัติการเพิ่มสายการผลิตเม็ดพลาสติก PET ภายในบริเวณโรงงาน Indorama Polymers Rotterdam BV ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PET อีก 190,000 ตัน ทำให้กำลังการผลิตทั้งหมดของโรงงานเป็น 390,000 ตัน การขยายโรงงานดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในกลางปี 2555 การขยายโรงงานครั้งนี้ทำให้เกิดการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทในยุโรป และเพิ่มการบริโภค PTA ภายในกลุ่ม จากโรงงานผลิต PTA ใน Rotterdam และการใช้บริการสาธารณูปโภคจากบริษัทในกลุ่มที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการประหยัดต่อขนาดด้วย การขยายโรงงานนี้คาดว่าจะเพิ่มมูลค่ากำไรแก่บริษัท ภายหลังเสร็จสิ้นแผนการเข้าซื้อและการขยายกิจการทั้งหมด บริษัทจะมีข้อได้เปรียบในการบริหารกิจการในระดับภูมิภาค ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 8.3 ล้านตันต่อปี (รวมกิจการร่วมทุน Ottana Polimeri, Trevira และ Polyprima ซึ่งจะได้รับเป็นส่วนแบ่งกำไร) บริษัทจะกลายเป็นผู้นำตลาดทั้งในประเทศไทย อเมริกาเหนือ และยุโรป กำลังการผลิตสิ้นปี 2554 กำลังการผลิตที่พร้อมดำเนินงานภายในปี 2555 กำลังการผลิตที่จะพร้อมดำเนินงานภายในปี 2556 ล้านตันต่อปี ร้อยละ ล้านตันต่อปี ร้อยละ ล้านตันต่อปี ร้อยละ *กิจการที่ผลประกอบการรวมอยู่ในงบการเงินรวม (Consolidated) เอเชีย 2.5 47 2.7 41 3.0 41 ตะวันออกกลางและแอฟริกา - - - - 0.1 1 ยุโรป 1.1 21 1.6 25 2.0 28 อเมริกาเหนือ 1.7 32 2.2 34 2.2 30 รวม 5.3 100 6.5 100 7.3 100 *กิจการที่ผลประกอบการบันทึกเป็นส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน (Equity Income) เอเชีย - - 0.5 50 0.5 50 ยุโรป 0.5 100 0.5 50 0.5 50 รวม 0.5 100 0.5 100 1.0 100 รวมทั้งสิ้น 5.8 100 7.5 100 8.3 100 *กำลังการผลิต ปริมาณการผลิต ปริมาณการขายและ อัตราการผลิต ที่รายงานไปนั้นรวมเฉพาะผลประกอบการของกิจการที่รวมอยู่ในงบการเงินรวม (Consolidated) ไม่รวมถึงผลประกอบการของกิจการที่บันทึกในรูปของเป็นส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน (Equity Income) ข้อสังเกต 1 : ข้อมูลทางการเงินรวมภายหลังการตัดรายการระหว่างกันในบริษัทในกลุ่ม (หรือระหว่างกลุ่มธุรกิจ) ทำให้อาจไม่เท่ากับยอดรวมของแต่ละส่วนธุรกิจ *กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยสำหรับ ปี 2554 ได้รวมกำไรพิเศษสุทธิจำนวน 213 ล้านเหรียญสหรัฐ (6,510 ล้านบาท) ซึ่งประกอบด้วย กำไรจากการต่อรองราคาซื้อ หรือค่าความนิยมติดลบจากการเข้าซื้อกิจการ จำนวน 274 ล้านเหรียญสหรัฐ (8,369 ล้านบาท) (รายละเอียดแสดงอยู่ใน หมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 5 เรื่อง การเข้าซื้อธุรกิจ ในงบการเงินที่ตรวจสอบแล้ว) รายการค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการระหว่างปี จำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (613 ล้านบาท) รายการขาดทุนจากการด้อยค่าเนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาสที่4 ของปี 2554 จำนวน 47 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,434 ล้านบาท) และกำไรในสินค้าคงเหลือ จำนวน 6 ล้านเหรียญสหรัฐ (188 ล้านบาท) กำไรจากการต่อรองราคาซื้อจากการเข้าซื้อกิจการ Trevira ในไตรมาสที่3 ของปี2554 และ Polyprima ในไตรมาสที่4 ของปี 2554 นี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันในงบการเงิน กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยสำหรับ ปี 2553 ได้รวมกำไรพิเศษสุทธิจำนวน 113 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,641 ล้านบาท) ซึ่งประกอบด้วยกำไรจากการต่อรองราคาซื้อ หรือค่าความนิยมติดลบ จากการเข้าซื้อกิจการสาธารณูปโภคใน UAB Ottana Polimeri Europe และกิจการสาธารณูปโภคในเมืองรอตเตอดัม เนเธอร์แลนด์ จำนวน 77 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,451 ล้านบาท) และรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการระหว่างปี จำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (29 ล้านบาท) และกำไรในสินค้าคงเหลือ จำนวน 37 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,161 ล้านบาท) กำไรการต่อรองราคาซื้อกิจการ Ottana Polimeri ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 นี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในกิจการที่มีการควบคุมร่วมกันในงบการเงิน กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) ได้หักรายการกำไร ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือออกจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่รายงานไว้ (Reported EBITDA) รายการกำไร ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือเกิดจากราคาของวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือที่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นงวดที่แล้วจนถึงสิ้น งวดปัจจุบัน กำไรในสินค้าคงเหลือจะทำให้ต้นทุนขายลดลง และขาดทุนจากสินค้าคงเหลือจะทำให้ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 บริษัทได้ใช้มาตรฐานการายงานทางการเงินที่ปรับปรุงใหม่ (TFRS) ตามที่ประกาศใช้โดยสภาวิชาชีพฯ ในการจัดทำงบการเงิน ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่อง การนำเสนองบการเงิน การบันทึกบัญชีสำหรับการรวมธุรกิจ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และ ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนพนักงาน รายการส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 1 มกราคม 2554 ถูกปรับปรุงจำนวน 284 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ รายละเอียดแสดงอยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 3 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี ในงบการเงินที่ตรวจสอบแล้ว การคาดการณ์ถึงแนวโน้มธุรกิจ : รายงานฉบับนี้ได้รวมถึงการคาดการณ์ถึงแนวโน้มธุรกิจ ทั้งในปริมาณความต้องการในสินค้าของบริษัทและผลกระทบจากแผนงานดำเนินธุรกิจ การประมาณการดังกล่าวมาจากข้อมูลข้างต้น การประมาณการภายใน สมมติฐานของฝ่ายบริหาร และแผนงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ในอนาคต ผลประกอบการจริงอาจแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญจากการคาดการณ์ในรายงานฉบับนี้ หากสมมติฐานหรือการประมาณการบางอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่เกิดขึ้นจริง ธุรกิจห่วงโซ่มูลค่าของโพลีเอสเตอร์ โดยทั่วไปมีการซื้อขายในรูปดอลล่าร์สหรัฐ ดังนั้นบริษัทจึงนำเสนอข้อมูลโดยการแปลงค่าเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ บริษัทจัดทำรายงานทางการเงินในรูปเงินบาท และข้อมูลที่แนบมาต่อไปนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของรายงานฉบับนี้ ข้อมูลที่แนบมารายงานถึงผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2554 และไตรมาสเปรียบเทียบ ที่ตรวจสอบแล้ว ในรูปเงินบาท และมีการแปลงค่าเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐที่อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยและอัตราปิดขึ้นอยู่กับรายการ ผู้อ่านพึงยึดผลประกอบการในรูปเงินบาทเป็นหลัก ข้อมูลทางการเงินรวม ฐานะทางการเงินและอัตราส่วนทางการเงิน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทฯเท่ากับ 0.7 เท่าในปี 2554 ซึ่งต่ำกว่า 0.9 เท่าในปี 2553 ทั้งที่มีรายจ่ายฝ่ายทุนและการลงทุนเข้าซื้อกิจการจำนวน 1,032 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมแล้วทำให้กำลังการผลิต PET เส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ และ เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านตัน รายจ่ายฝ่ายทุนและการลงทุนนี้ถูกสนับสนุนโดยเงินกู้ระยะยาว เงินสดรับจากการออกหุ้นเพิ่มทุน และเงินสดจากการดำเนินงาน หนี้สินสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 ซึ่งเท่ากับ 996 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1,377 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 381 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินเบิกเกินบัญชีธนาคารและหนี้ระยะสั้น เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วจำนวน 254 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตรวม 1.2 ล้านตัน จาก 3.2 ล้านตันในปี 2553 เป็น 4.4 ล้านตันในปี 2554 และการเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์โดยเฉลี่ย ตารางต่อไปนี้แสดงการเปลี่ยนแปลงของหนี้สินรวม และหนี้สินสุทธิ ในหน่วยล้านเหรียญสหรัฐ ไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ไตรมาสที่ 4 ปี 2553 เงินเบิกเกินบัญชีธนาคารและเงินกู้ยืมระยะสั้น 432 331 178 ร้อยละต่อหนี้สินรวม 22% 21% 17% เงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 204 184 197 ร้อยละต่อหนี้สินรวม 11% 11% 19% เงินกู้ยืมระยะยาว 1,064 1,084 689 ร้อยละต่อหนี้สินรวม 55% 68% 65% หุ้นกู้ 236 - - ร้อยละต่อหนี้สินรวม 12% - - หนี้สินรวม 1,936 1,598 1,064 เงินสด และเงินสดภายใต้การบริหาร 559 360 67 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 379 130 49 เงินลงทุนระยะสั้น 179 230 18 หนี้สินสุทธิ 1,377 1,238 996 อัตราส่วนทางการเงิน อัตราความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (เท่า) 2.7 9.1 12.0 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อEBITDA (เท่า) คำนวณจาก EBITDA 12 เดือนล่าสุด 2.6 1.9 2.2 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (เท่า) 0.7 0.6 0.9 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (เท่า) 1.0 0.8 1.0 อัตราหนี้สินสุทธิต่อเงินทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ลดลงเป็นร้อยละ 43 จากร้อยละ 48 ในปี 2553 อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของบริษัท ไม่รวมรายการพิเศษ ในปี 2554 เท่ากับร้อยละ 16 ซึ่งเท่ากับปี 2553 อัตราส่วนหมุนเวียน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 เท่า จาก 1.1 เท่าในปี 2553 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีสภาพคล่องสูงถึง 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วย วงเงินสินเชื่อที่ยังมิได้เบิกใช้เป็นจำนวนเงินรวม 836 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินสดและเงินสดภายใต้การดำเนินงานจำนวน 559 ล้านเหรียญสหรัฐ ตารางต่อไปนี้แสดงการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ในแต่ละปี ในหน่วยล้านเหรียญสหรัฐ ปี ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว ชำระคืนหุ้นกู้ 2554 204 - 2555 282 - 2556 263 - 2557 244 - 2558 197 91 2559 เป็นต้นไป 78 145 รวม 1,268 236 กระแสเงินสด บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 285 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2554 ซึ่งต่ำกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 328 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553 ราคาของทุกผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อธุรกิจ ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดจ่ายสำหรับเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 245 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2554 กระแสเงินสดอิสระก่อนรายจ่ายฝ่ายทุนมีจำนวน 207 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับ 369 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553 ในระหว่างปี 2554 มีรายจ่ายฝ่ายทุน เท่ากับ 1,032 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหลักมาจากการเข้าซื้อโรงงานผลิต PET ในประเทศจีน โรงงานผลิต PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ของ Invista ในประเทศสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก โรงงานผลิต PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ของ SK Chemicals ในประเทศอินโดนีเซียและโปแลนด์ โรงงานโพลีเอสเตอร์ Trevira ในยุโรป โรงงานเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ Wellman ในทวีปยุโรป และโรงงานผลิต PTA Polyprimaในประเทศอินโดนีเซีย รายจ่ายฝ่ายทุนดังกล่าวได้รับการสนับสนุนด้วยเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร เงินจากการออกหุ้นกู้ และการออกหุ้นเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ บริษัทได้รับเงินสุทธิ 565 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการออกหุ้นเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 และการออกหุ้นกู้ 246 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนตุลาคม 2554 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในงบการเงินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 มีจำนวน 559 ล้านเหรียญสหรัฐ (17,707 ล้านบาท) แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทฯ การเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม (Rights issue) ในเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติอนุมัติให้ออกและเสนอขายใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิท ธิได้ (TSR หรือ "ใบแสดงสิทธิ") ในชื่อ IVL-T1 จำนวน 481,585,672 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Issue) ในอัตราส่วน 9 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบแสดงสิทธิ ใบแสดงสิทธินี้มีอัตราส่วนการใช้สิทธิที่ 1 หน่วยใบแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้น การออกและเสนอขายใบแสดงสิทธินี้ได้รับการอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นต่อมาในเดือนธันวาคม 2553 ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 การออกและเสนอขายใบแสดงสิทธิได้สิ้นสุดลงด้วยอัตราการใช้สิทธิร้อยละ 99.67 ของการใช้สิทธิทั้งหมด หุ้นที่ออกใหม่จำนวน 479,986,198 หุ้น ได้เริ่มการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 บริษัทได้รับเงินจากการออกการหุ้นเพิ่มทุนนี้สุทธิจำนวน 565 ล้านเหรียญสหรัฐ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ในสกุลเงินบาท ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 คณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 25,000 ล้านบาท (ในสกุลเงินบาท หรือสกุลเงินอื่นเทียบเท่า) โดย อายุของหุ้นกู้ไม่เกิน 15 ปี นับจากวันที่ออกหุ้นกู้ในแต่ละครั้ง บริษัทฯได้เสร็จสิ้นการออกหุ้นกู้ชนิดไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Unsubordinated and unsecured) เป็นสกุลเงินบาทจำนวน 7,500 ล้านบาทในวันที่ 19 ตุลาคม 2554 ในจำนวนทั้งหมดนี้ 2,900 ล้านบาทมีอายุ 5 ปี 1,400 ล้านบาทมีอายุ 7 ปี และ 3,200 ล้านบาทมีอายุ 10 ปี รายละเอียดการออกหุ้นกู้มีดังนี้ ชุดอายุ 5 ปี จำนวน 2,900 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.70 ชุดอายุ 7 ปี จำนวน 1,400 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.04 ชุดอายุ 10 ปี จำนวน 3,200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.35 การออกหุ้นกู้นี้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเข้าสู่ตลาดหุ้นกู้ เพิ่มอายุเฉลี่ยของหนี้สิน สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ในระยะยาว นำมาชำระหนี้ที่มีต้นทุนทางการเงินสูง และเพื่อให้มีสภาพคล่องเพื่อใช้เป็นรายจ่ายฝ่ายทุนและการลงทุนในอนาคต บริษัทฯได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ โดย Thai Rating Information Service "TRIS" ประเทศไทย ตารางที่ 1 IVL : ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ไตรมาสที่ 4/2554เทียบกับ ปี 2554 เทียบกับ ไตรมาส 4/2554 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ปี 2554 ปี 2553 ปี 2553 * กำลังการผลิต (ตัน) 1,368,158 1,360,617 847,887 1% 61% 5,098,742 3,260,861 56% PET resins 797,904 797,905 374,856 0% 113% 2,886,450 1,402,013 106% Polyester & wool 129,159 121,617 72,264 6% 79% 462,387 268,848 72% PTA 441,095 441,096 400,767 0% 10% 1,749,905 1,590,000 10% ** ปริมาณผลิต (ตัน) 1,054,135 1,212,053 825,983 -13% 28% 4,361,313 3,185,503 37% PET resins 554,220 684,023 342,930 -19% 62% 2,322,128 1,306,728 78% Polyester & wool 107,383 116,127 75,649 -8% 42% 418,362 283,998 47% PTA 392,531 411,903 407,405 -5% -4% 1,620,823 1,594,777 2% อัตราการใช้กำลังการผลิตรวม (%) 77% 89% 97% -14% -21% 86% 98% 34.7% Consolidated EBITDA ต่อตัน(เหรียญสหรัฐ) 41 127 171 -68% -76% 128 136 -6% Core EBITDAต่อตัน (เหรียญสหรัฐ) 75 111 127 -33% -41% 127 125 1% * กำลังการผลิตคำนวณจากจำนวนวันในแต่ละไตรมาส ไม่รวมกำลังการผลิตของกิจการร่วมทุน ** ปริมาณการผลิตคำนวณจากปริมาณผลิตที่เทียบเท่า ตารางที่ 2 IVL : กระแสเงินสด ปี 2554 เทียบกับ หน่วย : ล้านบาท ปี 2554 ปี 2553 ปี 2553 EBITDA 17,021 13,777 24% การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ดำเนินงานสุทธิและอื่นๆ (8,795) (273) 3122% ค่าใช้จ่ายทางการเงินสุทธิ (1,736) (1,333) 30% ภาษีเงินได้ (192) (469) -59% กระแสเงินสดอิสระก่อนรายจ่ายฝ่ายทุน 6,298 11,702 -46% รายจ่ายฝ่ายทุน (6,171) (2,418) 155% เงินสดสุทธิจากการ (ซื้อ) ขายบริษัทย่อยและกิจการร่วมทุน (25,316) (4,124) 514% กระแสเงินสดอิสระหลังรายจ่ายฝ่ายทุน (25,189) 5,160 -588% เงินปันผล (5,630) (1,489) 278% เงินสดรับจากการออกหุ้นเพิ่มทุน 17,224 3,825 350% การเปลี่ยนแปลงในหนี้สินสุทธิ 13,595 (7,496) -281% ข้อสังเกต: ข้อมูลทางการเงินรวมภายหลังการตัดรายการระหว่างกันในบริษัทในกลุ่ม (หรือระหว่างกลุ่มธุรกิจ) ทำให้อาจไม่เท่ากับยอดรวมของแต่ละส่วนธุรกิจ ตารางที่ 3 IVL : อัตราส่วนทางการเงิน ไตรมาส 4/2554 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ปี 2554 ปี 2553 อัตราส่วนสภาพคล่อง (เท่า) 1.6 1.5 1.1 1.6 1.1 อัตราหนี้สินสุทธิต่อเงินทุนของบริษัท (%) 43% 39% 48% 43% 48% * อัตราหนี้สินในการดำเนินงานสุทธิต่อเงินทุนของบริษัท (%) 39% 37% 46% 39% 46% อัตราความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (เท่า) 2.7 9.1 12.0 9.0 10.6 ** อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (%) -11% 25 % 55% 35% 42% *** อัตราผลตอบแทนต่อเงินทุนของบริษัท (%) 1 % 15% 23% 16% 18% * คิดจากหนี้สินในการดำเนินงานสุทธิ ซึ่งไม่รวมหนี้สินของโครงการลงทุนที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้และกำไรแก่กิจการ ** กำไรสุทธิหลังหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท *** กำไรจากการดำเนินงาน (Operating income) ต่อเงินทุนของบริษัท (หนี้สินในการดำเนินงานสุทธิบวกส่วนของผู้ถือหุ้น) ธุรกิจ PET รายได้ของกลุ่มธุรกิจ PET ในปี 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 132 เนื่องมาจากทั้งการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตจากการเข้าซื้อกิจการ ในประเทศจีน อินโดนีเซีย เม็กซิโก โปแลนด์ และสหรัฐอเมริกาในไตรมาสที่1 ปี2554 และราคาของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น Core EBITDA ของกลุ่มธุรกิจในปี 2554 เท่ากับ 361 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 จาก 216 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 80 เป็นผลมาจากกิจการที่เข้าซื้อ และผลกระทบจากภัยพิบัติจากธรรมชาติ เช่น พายุทอร์นาโดในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 และน้ำท่วมในประเทศไทย ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ปริมาณการผลิตและอัตรากำไรที่ลดลง เนื่องมาจากการปรับลดปริมาณสินค้าคงเหลือในช่วงที่ราคาสินค้าลดลง การปิดโรงงานที่จังหวัดลพบุรี ประเทศไทยทั้งไตรมาส และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนแปรสภาพภายใต้อัตราการกำลังการผลิตที่ลดต่ำลง อีกทั้งอัตรากำไรจากกลุ่มธุรกิจ PTA ในทวีปเอเชียในไตรมาสที่ 4 ลดต่ำลงเป็นอย่างมาก ส่งผลต่อ PTA EBITDA ที่ปันส่วนให้ธุรกิจ PET จากการขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบริษัท Core EBITDA ในไตรมาสที่4 ปี2554 เท่ากับ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 43 จากไตรมาสที่3 ปี2554 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่4 ปี2553 การเข้าซื้อกิจการที่ผ่านมาได้ประสบความสำเร็จในการควบรวมเข้าสู่บริษัทฯ และในปี 2555 จะเป็นปีแรกที่เริ่มดำเนินการของกิจการที่เข้าซื้อเสร็จสิ้นในปี 2554 อย่างเต็มปี รวมทั้งแผนขยายกำลังการผลิตในประเทศจีนและเนเธอร์แลนด์ซึ่งจะเริ่มดำเนินการช่วงกลางปี การปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานภายในกิจการที่เข้าซื้อจะส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทฯแข็งแกร่งขึ้น และการเริ่มดำเนินการที่โรงงานลพบุรีในไตรมาสที่ 2 จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ PTA และ PET โพลีเมอร์ในประเทศไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ตารางที่ 4 ธุรกิจ PET : กำลังการผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิต (%) ไตรมาส4/2554 เทียบกับ ปี 2554 เทียบกับ ไตรมาส 4/2554 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ปี 2554 ปี 2553 ปี 2553 * กำลังการผลิต (ตัน) 797,904 797,905 374,856 0% 113% 2,886,450 1,402,013 106% ปริมาณผลิต (ตัน) 554,220 684,023 342,930 -19% 62% 2,322,128 1,306,728 78% อัตราการใช้กำลังการผลิต (%) 69% 86% 91% 80% 93% * กำลังการผลิตคำนวณจากจำนวนวันในแต่ละไตรมาส ตารางที่ 5 ธุรกิจ PET : รายได้จากการขาย ไตรมาส4/2554 เทียบกับ ปี 2554 เทียบกับ ไตรมาส 4/2554 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ปี 2554 ปี 2553 ปี 2553 รายได้จากการขาย ล้านบาท 30,239 36,569 14,495 -17% 109% 129,671 58,073 123% ล้านเหรียญสหรัฐ 975 1,214 483 -20% 102% 4,252 1,832 132% รายได้จากการขาย (ล้านบาท) ที่เพิ่มขึ้นมาจาก การเปลี่ยนแปลงของปริมาณ -17% 65% 73% การเปลี่ยนแปลงของราคา -1% 41% 52% การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน 1% 3% -2% สัดส่วนรายได้จากการขายแยกตามภูมิภาค ไทย 2% 5% 7% 4% 7% เอเชีย (ไม่รวมไทย) 10% 13% 4% 10% 5% อเมริกาเหนือ 46% 45% 34% 44% 34% ยุโรป 30% 29% 46% 32% 47% อื่นๆ 12% 7% 8% 10% 7% ตารางที่ 6 ธุรกิจ PET : OPERATING EBITDA ไตรมาส4/2554 เทียบกับ ปี 2554 เทียบกับ ไตรมาส 4/2554 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ไตรมาส 3/2554 ไตรมาส 4/2553 ปี 2554 ปี 2553 ปี 2553 * Core EBITDA ล้านบาท 1,704 2,891 1,543 -41% 10% 11,015 6,836 61% (ยังมีต่อ)