กรุงเทพฯ – 11 พฤศจิกายน 2556 – บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตในห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์แบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 ปรับตัวดีขึ้น มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 3ปี 2556 อยู่ที่ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 และมีกำไรรวมก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงสุดใน 8 ไตรมาสที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากไตรมาสที่แล้ว อยู่ที่ 131 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (Net profit after tax and minorities) เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของ EBITDA โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.1 พันล้านบาท) เทียบกับ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ ( 0.2 พันล้านบาท) ในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 ราคาที่ฟื้นตัวส่งผลให้มีกำไรในสิงค้าคงเหลือ 8 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3ปี 2556

ธุรกิจ PET ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รายงาน EBITDA ในไตรมาสที่ 3ปี 2556 อยู่ที่ 67 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ธุรกิจเส้นใยและเส้นด้าย รายงาน EBITDA 18 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจวัตถุดิบ ซึ่งประกอบด้วย PTA และ MEGรายงาน EBITDA 47 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลจากปริมาณการผลิตและกำไรที่เพิ่มขึ้นภายหลังการเปลี่ยน catalyst ของโรงงานผลิต Oxide & Glycols ในสหรัฐอเมริกา

“ในฐานะบริษัทระดับโลกที่มีสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ของอินโดรามา เวนเจอร์ส จึงมุ่งเน้นที่การกระจายความเสี่ยงในภูมิภาคต่างๆ ดังนั้นเราจะเห็นภาพรวมของการทำงานในแต่ละส่วนของธุรกิจจากผลการดำเนินงานในระดับภูมิภาค” นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ กล่าว “ธุรกิจของเราในเอเชีย เห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุปทานส่วนเกินของ PTAในตลาดเอเชียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รายงาน EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 อยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับ 28 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 ซึ่งไม่รวมเงินประกันชดเชย แสดงให้เห็นว่า มีการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนต่างผลิตภัณฑ์หรือสเปรดของ PTA ยังคงต่ำกว่าครึ่งจากระดับปกติ ซึ่งเราเชื่อว่า ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืนกับผู้ผลิตส่วนใหญ่ในตลาด ดังนั้นเราจะเห็นการฟื้นตัวเพื่อให้เกิดความสมดุลในอุตสาหกรรม”

“ธุรกิจของเราในยุโรปยังมีการดำเนินงานที่คงที่ แต่ EBITDA ปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับ 17ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2ปี 2556 เนื่องจากสถานการณ์อุปทานส่วนเกินในภูมิภาค การนำเข้าของเอเชียและการสิ้นสุดฤดูร้อน สำหรับอเมริกาเหนือ มีผลการดำเนินงานที่คงที่ โดยมี EBITDA อยู่ที่ 76 ล้านเหรียญสหรัฐและจากการกลับมาดำเนินงานของโรงงานผลิต Oxide & Glycols คาดว่าจะทำให้มีกำไรสูงขึ้น เนื่องจากสภาวะขาดแคลนในอุตสาหกรรม (undersupplied)” นายโลเฮียกล่าว

“ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVA) และธุรกิจ commodity ในตะวันตก มีการดำเนินงานที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากกลยุทธ์การลงทุนตลอดช่วง 3ปีที่ผ่านมา การลงทุนอย่างต่อเนื่องของอินโดรามา เวนเจอร์สนำไปสู่การเพิ่มปริมาณการผลิตในตลาดที่มีการฟื้นตัว ในขณะเดียวกันเรามีทีมที่ดูแลความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีกำไรโดยรวมเพิ่มเติม 150 ล้านเหรียญสหรัฐใน 3 ปีข้างหน้า” ปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา เรามีความพร้อมอย่างยิ่งในการเดินหน้าเพื่อการเติบโตในอนาคตมีผู้ผลิตหลายรายในตลาดได้รับผลกระทบหนักว่าเรามาก

“เราเป็นบริษัทที่เติบโตและสามารถเพิ่มส่วนธุรกิจที่น่าสนใจตลอดเวลาที่ผ่านมา กลยุทธ์ของเราจะส่งผลให้ได้เห็นในช่วงทุกคนในอุตสาหกรรมประสบกับความยากลำบาก ผมกลับมีความกระตือรือร้นในการมองหาโอกาสที่เหมาะสมสำหรับการเติบโต ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายอาลก กล่าว “อินโดรามา เวนเจอร์สกำลังแสวงหาโอกาสในการเติบโตที่มีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับการดำเนินงานปัจจุบันของเรา หรือส่งเสริมความหลากหลายทางผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่าในอนาคต”